หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

4 ความเชื่อผิดๆ กับการออกกำลังกายของผู้ชาย


การลองผิดลองถูกในเรื่องของการออกกำลังกายถือเป็นเรื่องที่ธรรมดาๆ มากนะครับสำหรับบรรดา Sport Man ทั้งหลาย เพราะการออกกำลังกายทั้งเพื่อสุขภาพ เพื่อการสร้างกล้ามเนื้อ หรือเพื่อลดความอ้วน ฯลฯ มีวิธีการให้ได้ทดลองกันมากมายเหลือเกิน
แต่ที่เราจะนำมาพูดในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของวิธีการออกกำลังกายครับ เพราะขึ้นชื่อว่าการออกกำลังกาย ถ้าไม่มากเกินไปจนกล้ามเนื้อฉีก ก็ถือว่าดีทั่งหมดนั่นแหละครับ แต่จะมาว่ากันด้วยเรื่องของ "ความเชื่อ" ที่ส่วนมากจะค่อนไปทางผิดๆ หลักของการออกกำลังกายครับ มาดูกันดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แล้วคุณกำลังคิดแบบนี้อยู่รึเปล่า ?

เรื่องที่ 1 ถ้าไม่ออกกำลังกายมากๆ จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
จั่วหัวมาแบบนี้ เล่นเอาหนุ่มๆ ที่ขี้เกียจ หรือเวลาน้อย ถอยกลับไปกิน ดื่มจนอ้วนฉุกันเหมือนเดิมเลยทีเดียว ความจริงแล้วผิดนะครับ ต้องเปลี่ยนความคิดในข้อนี้เสียใหม่เป็น "ทำน้อยดีกว่าไม่ทำเลย" เพราะผู้ชายหลาย คนเชื่อตามหลักการเก่าๆ ที่ใครก็ไม่รู้บัญญัติขึ้นมาว่า ต้องออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ถึงจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย ความจริงแล้วขอแค่ทำครับ จะ 10 หรือ 15 นาที แค่นี้ก็เพียงพอ ไม่ต้องทำแบบ 30 นาทีรวดไปเลยก็ได้ แบ่งเวลาให้ได้สัดส่วน เพราะแค่ 10 นาทีระหว่างดูทีวี จะดูข่าวหรือละครอะไรก็ตาม ก็สามารถนำมาซิทอัพ เป็นช่วงๆ สร้างกล้ามเนื้อ เผาผลาญไขมันได้เหมือนกัน หรือไม่ก็หลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ไม่ว่าจะมื้อไหนก็ตาม เดินย่อยซักหน่อยก็ได้ผลเหมือนกับการออกกำลังกายเหมือนกันแหละครับ

เรื่องที่ 2 ออกกำลังกายหนักๆ มาแล้วต้องซ้ำ ยิ่งปวดกล้ามเนื้อยิ่งได้ประโยชน์
ข้อนี้เป็นความเชื่อที่แพร่หลายกันมากเลยครับสำหรับหนุ่มๆ ที่พึ่งหัดเข้ายิมใหม่ๆ ไม่รู้ไปเอามาจากไหนกัน ความจริงแล้วการออกกำลังกายควรทำแต่พอดีจะดีที่สุดครับ เหนื่อยเกินไปหนักเกินไปล้วนเกิดโทษทั้งนั้น การออกกำลังกายแล้วปวดเมื่อยร่างกายนิดหน่อยอันนี้ถือว่าปกติ เป็นเรื่องธรรมดามากๆ และคุณสามารถกลับมาเล่นอีกวันได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าเกิดเล่นจนรู้สึกว่าปวดร้าวไปหมดทั้งร่าง นั่นคือการฝืนจนเกินไปครับ แนะนำให้พักจนรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วค่อยไปออกกำลังกายใหม่อีกครั้งจะดี กว่า

เรื่องที่ 3 จะลดส่วนเกินตรงไหน ให้ออกกำลังกายเฉพาะส่วนนั้น
แนวคิดนี้เรียกว่า Spot Training หรือการบริหารเฉพาะจุด ซึ่งหลายๆ คนเวลาอยากผอม อยากลดพุงก็อาจจะใช้วิธีนี้ คือเลือกเล่น หรืออกกำลังแต่เฉพาะจุด อย่างอยากให้พุงหายไป ก็เอาแต่ซิทอัพ ตะบี้ตะบันเข้าไป เป็นร้อยครั้งแค่เพียงอย่างเดียว แต่พุงไม่ยุบไปเลยครับ กลับกันหน้าท้องกลับแข็งขึ้นๆ ไขมันก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายเฉพาะจุดไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการ ลดสัดส่วนเฉพาะไปได้เลย การออกกำลังกายแบบเผาผลาญ อย่างการวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน พวกนี้ต่างหากที่จะช่วยเบิร์นไขมันของคุณให้หายไปได้ ส่งผลให้ส่วนที่คุณต้องการลดลงไปในที่สุดครับ


เรื่องที่ 4 ออกกำลังแบบเบาๆ แต่นานๆ เผาผลาญได้มากกว่า
การออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกินให้ออกไปจากร่างกายให้ได้มากที่ สุด หัวจใจสำคัญอยู่ที่การรีดแคลอรี่และกำจัดออกไปจากร่างกาย ผ่านทางเหงื่อครับ ดังนั้น การออกกำลังกายแบบเบาๆ นานๆ แต่เหงื่อไม่ออกเลยซักเม็ด ไม่สามรถช่วยเผาผลาญได้แต่อย่างใด เพราะยิ่งออกกำลังกายให้นักเท่าไหร่ เร็วเท่าไหร่ ถี่เท่าไหร่ และเหงื่อออกมากแค่ไหน นั่นแปลว่าระบบเผาผลาญในร่างกายของคุณทำงานได้ดีมากเท่านั้นครับ ดังนั้นถ้าเชื่อแบบนี้ก็คิดใหม่ได้แล้ว


Cr. http://sanooklink.blogspot.com

13 เมนู ที่รู้ทั้งรู้ก็ยังกิน


13 เมนูยอดนิยมนี้ ที่มีตั้งแต่โซดาไปจนถึงข้าวโพดคั่ว ทั้งที่มาในรูปอาหารเพื่อสุขภาพและจานด่วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน

1. นักเก็ตไก่
อาหารฟาสต์ฟูดยอดนิยมที่กินสะดวกและ หาได้ทั่วไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง จะเป็นแบบแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็นที่บ้านหรือซื้อทานในร้านอาหารก็ไม่ควร เพราะมีปริมาณเกลือสูง รวมถึงสารกันบูด และ ไขมันในปริมาณเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ


2. เฟรนช์ฟรายด์
รู้อยู่แล้วว่าเป็นของว่างที่อุดม ไปด้วยแคลอรี่ การทานเป็นประจำอาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานและควบคุมน้ำหนักได้ยาก สารอาหารที่เป็นประโยชน์ของเจ้าแท่งสีเหลืองทองถือว่ามีน้อยมาก แม้ว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย แต่ถ้าอยากกินจริงๆ แนะนำให้อบแทนทอด


3. ขนมขบเคี้ยวชนิดทอด
ขนมขบเคี้ยวประเภททอดทั้ง หลายล้วนใส่เกลือในสัดส่วนเกินพอดี นั่นหมายถึงปริมาณแคลอรี่ และ สารกันบูด ในระดับที่ทำลายสุขภาพ โดยให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใยอาหารต่ำ อันจะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง


4. โซดา
ความจริงคือน้ำซ่าชนิดนี้มีแคลอรี่เท่ากับ ศูนย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ให้สารอาหารเป็นประโยชน์ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นโซดาในท้องตลาดทั้งหลายยังใส่ส่วนผสมแต่งรสแต่งกลิ่น เช่น น้ำเชื่อมฟรุกโตส(ไซรัป) ที่ทำจากข้าวโพดที่ให้โทษมากกว่าน้ำตาล เพราะมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไปเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่มีส่วน ทำลายเซลล์ในตับ นอกจากนี้ยังทำให้อ้วน และช่วยกระจายเชื้อแบคทีเรียและมะเร็ง โดยไปเพิ่มปริมาณกรดแก่ร่างกาย


5. ฮอทดอกและเนื้อแปรรูป
กระบวนการผลิตเนื้อและฮอทด อกในท้องตลาดใช้สารสังเคราะห์ในปริมาณสูง รวมถึงผงชูรส เกลือ และบรรจุภัณฑ์ราคาถูก ที่สำคัญ ในขั้นตอนการแยกเนื้อและไขมันนั้นต้องผลิตภายใต้ความร้อนและความดันที่สูง มาก สารอาหารที่มีประโยชน์จึงสูญเสียไปเยอะ


6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้ เกิดโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีแนวโน้มเป็นเบาหวานมากกว่าคนที่ไม่ทาน


7.ซีเรียลผสมน้ำตาล
อาหารเช้าอย่างซีเรียล โดยเฉพาะยี่ห้อที่กล่องสีสันสดใส หลายบ้านมีไว้คู่ครัว ทราบหรือไม่ว่าแต่ละกล่องเพิ่มปริมาณน้ำตาลเข้าไปในระดับเสี่ยงเป็นเบาหวาน แม้คุณสมบัติเส้นใยสูงจะช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แต่ซีเรียลเหล่านี้ก็มีไฟเบอร์อันเป็นประโยชน์ในสัดส่วนที่ต่ำมาก ถ้าอยากกินจริงๆ ให้มองหาซีเรียลที่ข้างกล่องระบุไว้ว่ามีไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัม และเลี่ยงชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูง


8. มันฝรั่งทอดชนิดแผ่น
มันฝรังแผ่นทอดกรอบต่างๆ อุดมไปด้วยไขมันและแคลอรี่ ที่สำคัญเค็มมาก ทั้งหมดนี้แทคทีมกันทำร้ายสุขภาพ ทางที่ดีควรกินให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเท่ากับจะได้หนีจากปริมาณไขมันและแคลลอรี่ในปริมาณที่ร่างกายเกินต้อง การ และไปลงท้ายด้วยการสะสมในน้ำหนักจนพุ่งกระฉูด ซึ่งจะนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอีกสารพัด


9. กราโนลา บาร์ หรืออาหารเช้าที่ประกอบด้วยน้ำนมใส่ผลไม้แห้ง,ผลไม้เปลือกแข็ง,ข้าว ชนิดอัดแท่ง
ตลาด อาหารสำเร็จรูปที่(ดู)มีประโยชน์กำลังโปรโมทเมนูสุขภาพนี้อย่างเต็มที่ ความจริงก็คือ กราโนลาบาร์ มีปริมาณน้ำตาลไซรัปข้าวโพดสูง แม้บางยี่ห้อจะโฆษณาว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งแท้ แต่สารให้ความหวานส่วนใหญ่มาจากน้ำตาลไซรัปข้าวโพด ที่อุดมไปด้วยโซเดียมและไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ


10.คุกกี้ แครกเกอร์ เค้ก และ มัฟฟิน สำเร็จรูป
ขนม เหล่านี้จัดอยู่ในสินค้าหมวดเดียวกันของร้านสะดวกซื้อ เพราะมีผลต่อสุขภาพใกล้เคียงกัน นอกเหนือจากปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงมาก ขนมเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยไขมันชนิดทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตนิยมใช้เพราะราคาถูกว่าไขมันที่มีประโยชน์ขนิดอื่นๆ และยังช่วยยืดวันหมดอายุ และ ทำให้หน้าตาขนมดูดีไปได้เป็นระยะเวลานาน


11. ชาเย็นสำเร็จรูป
จากคำโฆษณาว่าทำเองแสนจะง่าย แถมราคาถูกอีกต่างหาก ที่จริงแล้วเครื่องดืมชนิดนี้ทำมาจากถุงชาราคา เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพตามที่บอกเอาไว้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสีสังเคราะห์ น้ำตาลไซรัปข้าวโพด และ น้ำตาลชนิดอื่นๆ อีก


12. มาการีน (เนยเทียม)
ดูเป็นทางเลือกรองจากเนยแท้ ซึ่งหลายบ้านมีไว้คู่ครัว ข้อเสียประการสำคัญคือ อุดมไปด้วยไขมันทรานส์ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างโรคอ้วน นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วย อนุมูลอิสระ สารกันบูด สารอีมัลซิฟายเออร์-ป้องกันการแยกตัวของน้ำและน้ำมัน และ เฮกเซน - สารทำลายละลาย ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ


13. ข้าวโพดคั่วจากไมโครเวฟ
ของทานเล่นยอดนิยมชนิด นี้ คือหนึ่งในเมนูที่ไร้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุดเมนูหนึ่ง ประการแรก ข้าวโพดชนิดนี้ล้วนผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ยังไม่รวมสารกันบูด และ เกลือที่ใส่ลงไปไม่ยั้ง มากกว่านั้น ยังมีสารไดอะซิติล สารที่อยู่ในเนยหรือน้ำมันที่ใช้ในการเพิ่มรสและกลิ่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหลอดลมอักเสบ หลอดลมถูกทำลาย หรือมีอีกชื่อว่า Popcorn Lung ถ้าอยากกินจริงๆ ให้เลือกชนิดที่ปลูกแบบออร์แกนิค และ ซื้อมาทำเองที่บ้านด้วยส่วนผสมเตรียมเองเช่นกัน เช่น น้ำมันมะพร้าว เนยแท้ ฯลฯ



ที่มา : fitnea.com และ waymagazine.org

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาหารต้องห้าม ขณะท้องว่าง


1.กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง 
2.กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง 

3.ผัก การ รับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย 

4.นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย 

5.น้ำตาลหรืออาหารหวาน
 ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต 

6.ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ 

7.ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร 

ที่มา http://ict4.moph.go.th/

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีธรรมชาติรักษารอยดำรอยแดงจากสิว


สิว เกิดจากต่อมไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นถุงเล็ก ๆ อยู่ข้างๆ รูขุมขน เป็นต่อมที่ผลิตไขมันเคลือบผิวหนัง เส้นผมและขน เพื่อไม่ให้ผิวหนังแห้ง ไขมันที่ถูกสร้างออกมามีลักษณะเป็นของเหลว เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ฮอร์โมนจะกระตุ้นต่อมไขมันที่อยู่ตามหน้า คอ หน้าอกตอนบน ไหล่ หลัง และต้นแขน ให้ขยายใหญ่ขึ้นและทำงานมากขึ้น ต่อมไขมันจะสร้างไขมันซึ่งเป็นของเหลวนี้ออกมามากกว่าปกติ ไขมันระบายออกไม่ทัน จึงตกค้างอยู่ในท่อไขมัน แล้วแข็งตัวและอุดตันทางออกของต่อมไขมัน ทำให้เกิดเป็น สิว


ถ้าไขมันนี้มีขนาดใหญ่มากขึ้น จะดันผิวข้างบนให้นูนขึ้น มองเห็นเป็นเม็ดเล็กๆ เรียกว่า สิวหัวขาว ถ้าก้อนไขมันอุดตันโตมากขึ้นและถูกดันขึ้นมาบนปากรูขุมขนเห็นเป็นจุดเล็ก ๆ ไขมันที่ถูกดัน โผล่ขึ้นมานี้ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้เห็นสิ่งอุดตันที่ตกค้างอยู่ ที่ปากรูขุมขนเป็นสีดำ เรียกว่า สิวหัวดำ ถ้าไขมันอุดตันบริเวณผิวหนังนานๆ เชื้อโรคจะทำให้ สิวอุดตัน เป็น สิวอักเสบ มีอาการเจ็บปวดในบริเวณที่อักเสบ มีเลือดคลั่งมากเป็นเม็ดนูนบวมแดง

เรื่อง สิว ของวัยรุ่นเราเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 14-17 ปี วัยรุ่น 8 ใน 10 คน จะมีปัญหา สิว ไม่มากก็น้อย บางคนก็มี สิว มากขึ้น เมื่อมีความเครียด ตื่นเต้น หรือมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น ฟังผลสอบการแข่งขัน จะไปงานเลี้ยง แข่งกีฬา นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ในหญิงสาวจะมี สิว เพิ่มขึ้น หรือเมื่อใกล้รอบเดือนและเวลามีความเครียด เชื่อกันว่าอาหารบางประเภทก็มีส่วนทำให้เป็น สิว มากขึ้นอีกด้วย

เมื่อพ้นวัยรุ่นไปแล้ว สิว ก็จะค่อยๆ เป็นน้อยลง การมี สิว ทำให้วัยรุ่น ส่วนใหญ่เกิดความกังวล ไม่มั่นใจ ดังนั้นการรักษาความสะอาดบนใบหน้า โดยการล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ หรือสบู่เด็ก ล้างหน้าวันละ 3 ครั้ง อย่าเช็ดหน้าแรง ๆ หรือนวดหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางโดยไม่จำเป็น เนื่องจากเครื่องสำอางบางอย่าง จะมีสารอันตรายต่อต่อมไขมัน ควรเลือกใช้สารที่ให้ความชุ่มชื้น ที่มีส่วนประกอบที่ทำให้ไม่เกิด สิว พยายามอย่าแกะหัว สิว เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลถาวร นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยทำให้ผิวพรรณ เปล่งปลั่ง สดใส สมวัย ในกรณีที่ สิว อักเสบมากและเป็นบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อจะได้รับการรักษา อย่างถูกวิธี ไม่ควรซื้อยารักษา สิว ที่มีวางขายทั่วไป มิเช่นนั้น จากที่ว่าจะรักษาผิวหน้ากลับกลายเป็นทำลายใบหน้าแทน

เราสามารถใช้ธรรมชาติบำบัดกำจัด สิวได้ ดังนี้

1. เสริมความแข็งแรงของผิวหน้า


สิว เกิดหลายสาเหตุ สิว หนุ่มสาวเกิดจากฮอร์โมนเพศสวิงขึ้นลงพลุ่งพล่าน สิว เกิดจากความสกปรก ทำให้ต่อมไขมันติดเชื้อก็ได้ เกิดจากความเครียดความกังวลก็ได้ เช่น เกิดก่อนการมีประจำเดือน เกิดตอนอดนอน หรือตอนดูหนังสือสอบ ท้องผูกก็ทำให้เป็น สิว ฯลฯ ดูเหมือนว่า สิว มันพร้อมที่จะประทุบนใบหน้าได้ทุกเมื่อแหล่ะ

สิว เป็นปัญหามากสำหรับวัยรุ่นเรา ดังนั้น เราควรที่จะต้องรู้จัก และป้องกันไว้เพื่อ หน้าที่สวยใสกิ๊ง กันเตอะ ใบหน้าของเราเผชิญกับมลภาวะหลากรูปแบบ จึงจำเป็นที่มันต้องป้องกันตัวของมันให้ได้ วิธีการไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำให้บริเวณผิวหน้าอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน และสังกะสี

เบต้าแคโรทีน จะทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น ไม่เป็นริ้วรอย ตลอดจนป้องกันรอยปริแยกของผิว ไม่ให้เกิดขึ้นง่ายๆ ผิวหน้าที่ออกเหลืองนิดๆ ด้วยสีของ เบต้าแคโรทีนใต้ผิวหนังจะกลายสภาพเป็นเกราะกำบัง สิว ได้เป็นอย่างดี

คงจำได้ว่าเบต้าแคโรทีนมีมากในผักและผลไม้เท่านั้น ในเนื้อ นม ไข่ ไม่มี ผักสีเขียวจัดๆ ผลไม้สีเหลือง แดงจะมีเบต้าแคโรทีนสูง มะละกอ มะม่วงสุก ฟักทอง แครอท เป็นต้น ควรหามากินเป็นประจำ จนผิวมีสีออกเหลืองนิดๆ ไม่ต้องเหลืองมากเดี๋ยวจะไม่สวยอีก

สำหรับ สังกะสี จะทำให้ผิวสมานตัวเร็ว รอยแผล รอยสิว หรือ สิว อักเสบจะหายได้เร็วกว่า สำหรับสังกะสีมีมากในจมูกข้าวสาลีและเมล็ดฟักทอง

2. เพิ่มภูมิต่านทานด้วยวิตามินซี 


หากอยากกำราบ สิว อักเสบ จำเป็นต้องเพิ่มภูมิต้านทานให้ดีเยี่ยม และไม่มีอะไรดีกว่าการใช้วิตามินซีจากผักสดและผลไม้สดเป็นประจำ เม็ดเลือดขาวของเราจะทำงานมีประสิทธิภาพดีมาก หากวิตามินซีในร่างกายเพียงพอ การดื่มน้ำคั้นจากผลไม้สดเป็นประจำจะช่วยได้ น้ำส้มคั้นสดๆ หรือน้ำฝรั่งคั้นสดมีวิตามินซีสูง แต่ต้องคั้นแล้วดื่มเลย อย่าทิ้งไว้วิตามินซีจะได้ไม่สลายตัวเวลาถูกกับอากาศ

3. กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

ธรรมชาติบำบัดถือว่า สิว เกิดจากสารพิษ หากสารพิษค้างอยู่ในเลือดมากเกินไป ร่างกายจะดันเอาสารพิษออกไปอยู่ที่ผิวหนัง เนื่องจากผิวหนังเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุด สิวจึงปะทุออกมาอยู่บนใบหน้า แผ่นหลัง ต้นแขน ฯลฯ นั่นแหล่ะเป็นวิธีที่ร่างกายกำจัดสารพิษทิ้งด้วยตัวของมันเอง และนี่เองทีท้องผูกเป็นต้นเหตุของ สิว เวลาอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้ พิษจากอุจจาระสามารถดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดเยอะแยะเลย

ดังนั้น หากเป็น สิว เรื้อรังและอยากจะหาย การอดด้วยวิธีกินผลไม้ทั้งวัน เช่น กินฝรั่ง หรือมะละกอทั้งสักสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยร่างกายขับสารพิษออกไปได้

การสวนกาแฟก็จะไปกระตุ้นตับให้ขับสารพิษออกมาได้มากขึ้น และทำให้ สิว หายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หากสวนกาแฟเป็น ให้สวนทุกวันจะช่วยได้มาก การแก้ปัญหาท้องผูกด้วยการกินสารเส้นใยให้มากพอ การกินข้าวกล้องทุกมื้อ กินเมล็ดธัญพืช กินผัก ผลไม้เป็นประจำ ดื่มน้ำมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการของ สิว ลง

4. หาทางคลายเครียด 

การฝึกจิตสงบด้วยโยคะ ชี่กงไท้เก๊ก มีประโยชน์ การฝึกสมาธิ สวดมนต์เป็นประจำยิ่งดีใหญ่เลย การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อระเหิดความเครียดจะช่วยได้มาก แต่อย่าลืมว่าอาหารก็สามารถใช้ลดความเครียดได้ อาหารที่มีวิตามินบีและซีสูงๆ จะทำให้หายเครียดได้ ซึ่งก็ไม่พ้นที่ต้องกินข้าวกล้องผักสดและผลไม้สดเป็นประจำนั่นแหล่ะ

ข้อควรระวังสำหรับคนเป็น สิว คือ อย่านอนดึก อย่าเอามือสกปรกจับหรือลูบใบหน้า อย่าล้างหน้าด้วยสบู่หรือโฟมทุกครั้ง เพราะผิวหน้าจะแห้งเกินไป ติดเชื้อง่ายพยายามเลี่ยงอาหารไขมันสูง เนย ชีส ช็อกโกแลต กะทิ อะไรทำนองนี้ เพื่อที่ไขมันจะได้ไม่ล้นเกิน จะได้ไม่เป็นภาระของร่างกายที่ต้องขับน้ำมันออกไปตามต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ให้เสี่ยงต่ออาการอักเสบติดเชื้อ วิธีนี้จะลดอัตราเสี่ยงของการเกิด สิว ลง





น้ำมะนาว รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติ ... หาได้จากตู้เย็นในครัวที่บ้าน

ใช้น้ำมะนาวเพื่อบรรเทา / รักษาสิว เป็นวิธีธรรมชาติในการรักษาสิวที่ง่ายและปลอดภัย

สามารถใช้ได้ทั้งทาบนผิวและดื่ม ทั้งสองวิธีจะช่วยลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นทั้งภายนอกและภายใน

ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว

น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย

สูตรน้ำมะนาว / วิธีใช้

1.ล้างหน้าให้สะอาด

2.บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป

3.ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง

4.ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)

5.หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

ความจริงแล้วการรักษาสิวด้วยการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ที่ทุกคนควรดื่ม (สำหรับคนที่ไม่แพ้มะนาว) ประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นคือ :

-ขจัดกรดต่าง ๆ ที่ตกค้างออกไป เพราะน้ำมะนาวมีแร่ธาตุต่าง ๆ (วิตามินซี, โพแทสเซียม)

-บรรเทาอาการท้องผูก

-ทำความสะอาดตับด้วยกรดซิตริก และสร้างเอนไซม์เพื่อขจัดสารพิษในเลือด

-ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร

-กำจัดนิ่วในไต และตับอ่อน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 1

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผลลงในแก้ว

2.เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยละ 8 ออนซ์)

3.ดื่มน้ำมะนาวที่ผสมนี้ได้ทั้งวัน

การรักษาสิวโดยการดื่มน้ำมะนาว สูตร 2

1.บีบน้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำอุ่นที่ต้มแล้ว 1 ถ้วย (8 ออนซ์)

2.ดื่มเป็นสิ่งแรกของวัน ในตอนเช้า

3.หลังจากดื่มน้ำมะนาว งดการดื่ม หรือรับประทานสิ่งใด ๆ ภายในครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมะนาวได้ชำระล้างร่างกาย

มะเขือเทศ 1 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จร้า

ปั่นรวมกัน แล้วผอกหน้า 15- 20 นาที

อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

หรือก่อนนอน ล้างเช้า

ประมาณ 1 เดือน เริ่มดีขึ้น

3 เดือน เนียนขึ้น ใสขึ้น

ทำประจำ ผิวดีจร้า

ความสวยต้องใช้เวลา

วัน 2 วัน ไม่ได้หรอกนะคะ

อ้างอิงข้อมูลจาก http://guru.google.co.th/

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ล้างหน้าอย่างถูกวิธี ขั้นตอนดีๆเพื่อผิวสวย








วิธีทำให้หน้าใสง่าย ๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ


การล้างหน้า ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ผิวดีได้นะคะหากล้างหน้าอย่างถูกวิธีก็จะทำให้ผิวหน้า


กระจ่างใสไม่มีสิวได้ค่ะการล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอ คือตอนตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำ

ตอนเย็น ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้เลือกใช้สบู่ล้างหน้า โฟม หรือ 

เจลที่เหมาะสมตามสภาพผิว
ชโลมหน้าให้เปียก 1 ครั้งเพื่อความชุ่มชื่นและปรับสภาพใบหน้าให้เข้ากับอุณหภูมิน้ำ บีบผลิตภัณฑ์

ทำความสะอาดผิวลงบนฝ่ามือในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วนำน้ำหยดลงบนฝ่ามือเล็กน้อย แล้วใช้มืออีก

ข้างถูเบา ๆ ประมาณ 10-15 วินาที จนไม่เหลือเนื้อโฟม นำมานวดบนใบหน้า โดยทำความสะอาดอย่าง

เบามือที่สุด โดยเริ่มล้างจากกลางใบหน้าไปยังด้านข้างขวาและซ้าย ทำซ้ำประมาณ 2 นาที แล้วใช้น้ำ

เปล่าให้สะอาดอย่าให้มีคราบฟองติดอยู่ตามใบหน้า และใช้น้ำเย็นล้างอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน จากนั้น

ใช้ผ้านุ่มๆ ซับหน้าเบาๆ ไม่ควรถูแรงๆ นะคะ
นอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกง่ายด้วยน้ำเปล่า 

หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่เย็นจัดหรือร้อนจัดเกินไป
ความชุ่มชื้นไว้เลยควรซื้อแบบที่มีคำสูตรควบคุมความมันค่ะไม่ควรล้างหน้าเกิน 2-3 ครั้งต่อวัน เพราะยิ่ง

ล้างหน้าจะยิ่งมันเนื่องจากจะมีการชดเชยน้ำมันหลังล้างหน้าที่ทำให้ผิวแห้งลงไปนั่นเอง
หากต้องการทำความสะอาดเพิ่มเติมบริเวณที-โซน ให้ใช้โทนเนอร์เช็ดบริเวณที-โซนวันเว้นวัน เฉพาะ

ในบริเวณที่มีความมันเฉพาะจุดเช่นนี้โดยไม่ทำลายสมดุลน้ำหล่อเลี้ยงผิวและถ้ามีส่วนผสมของวิตามิน

ซีด้วยจะยิ่งดีใหญ่ค่ะ
โฟมล้างหน้าสูตรที่ทำความสะอาดอย่างล้ำลึกลดสาเหตุของการอุดตันอย่างอ่อนโยนโดยไม่ทำให้ผิว

แห้งตึง
การใช้อุณหภูมิของน้ำในการล้างหน้าก็สำคัญนะค่ะ หลายตำราบอกว่าควรเปิดรูขุมขนโดยใช้น้ำอุ่น

เพราะจะทำความสะอาดได้ล้ำลึก แต่ในความเป็นจริงแล้วการใช้น้ำอุ่น ก็อาจจะไปเป็นให้รูขุมขนกว้าง

ขึ้น และสังเกตเห็นได้ชัดมากขึ้น ส่วนน้ำเย็นถึงแม้จะช่วยปิดรูขุมขน แต่หากเย็นเกินไป ผิวก็เสียสมดุลได้

เช่นกัน เพราะฉะนั้น สาว ๆ สามารถล้างหน้าโดยใช้น้ำตามอุณหภูมิห้องได้ตามปกตินะค่ะ เพราะนอกจาก

จะไม่เกิดผลเสียใด ๆ แล้ว ยังไม่ยุ่งยากในการเตรียมน้ำอีกด้วยคะ

สาว ๆ รู้มั๊ยค่ะว่าอย่าบีบโฟมล้างหน้าลงบนใบหน้าโดยตรง โดยไม่ถูให้เกิดฟองก่อน เพราะเนื้อโฟมที่ยัง

ไม่แตกตัว อาจเข้าไปอุดตันในรูขุมขน หากทำความสะอาดไม่หมด จะทำให้เกิดสิวและริ้วรอยตามมาได้


ผิวแห้ง-ผิวบอบบางควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้น


ผิวมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีผลกระทบต่อน้ำมันที่ผิวเราสร้างขึ้นมา เราจึงไม่ควรเลือกโฟมที่แรงเกินไป

จนล้างแล้วรู้สึกว่าใบหน้าแห้งแบบไม่เหลือ


ผิวผสมขณะล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องเน้นบริเวณที-โซนมากจนเกินไป ควรล้างทั่วใบหน้าอย่างนุ่มนวล

ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์


ปัญหาสิวเสี้ยนเลือกใช้ผลิตภัณฑที่มีเม็ดบีดส์ หรือโฟมสครับ เพราะจะช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่าง

ล้ำลึก และช่วยผลัดผิวที่เสื่อมสภาพ


ปัญหาเรื่องสิวใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามินอี และวิตามินซี เพราะจะช่วยลบเลือนรอยแผล

เป็น จุดด่างดำจะค่อยๆ จางลง ควรเลือก