วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เคล็ดลับพิชิตริ้วรอย
มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน สำหรับรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ทั้งหลายที่ผุดขึ้นบนใบหน้า ส่องกระจกทีไรแทบอยากจะทุบกระจกทิ้ง จะฉีกยิ้มแต่ละทีต้องคอยประคับประคองรอยยิ้ม หากแต่กังวลเรื่องตีนกา จะเป็นสาวมั่นแค่ไหนก็คงอดที่จะกังวลใจไม่ได้เลย รีบมากำจัดรอยเหี่ยวย่น ตามแบบฉบับเคล็ดลับอันสุดยอดของเรากันเถอะค่ะ
เทปพันแผลลดรอยย่น
เป็นเทปกาวเพียงชนิดเดียวที่ออกแบบมาเพื่อให้สัมผัสกับผิวหนังของเราได้โดยไม่เกิดอาการแพ้ โดยจะแปะทับไปตรงบริเวณรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากและหางตาก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยย่นเพิ่มขึ้นจากการเผลอแสดงสีหน้าท่าทางในขณะหลับ ช่วยให้ริ้วรอยย่นนั้นจางลงได้
เลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลและวิตามิน A
ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอลและวิตามิน A เป็นส่วนผสมนั้นมีอยู่มากมาย ตามแต่คุณภาพและความเข้มข้นและราคาของผลิตภัณฑ์ แต่ถ้าจะใช้รักษาริ้วรอยได้แบบตื้นสนิท ควรเลือกเป็นชนิดเซรั่ม เพราะมีความเข้มข้นและซึมซาบได้ไวกว่าและควรใช้ในเวลากลางคืนจะได้ผลดีกว่า แต่สำหรับวิตามิน A ควรใช้ในเวลากลางคืนเพียงอย่างเดียวเพราะ ไม่ถูกกับแสงแดด หากใช้ในเวลากลางวันอาจก่อให้เกิดอาการแสบแดงได้
ลดริ้วรอยด้วยการนวด
เลือกนวดตอนคุณล้างหน้าหรือทาครีมบำรุง เวลาที่คุณนวดหน้าผากนั้นเรียกได้ว่าน้อยนิดเพียงกระพริบตา ใช้นิ้วกลางกับนิ้วนางกดไปที่กลางหน้าผาก ค่อยๆนวดวนไล่ออกจากกึ่งกลางหน้าผากไปที่ขมับ จังหวะขึ้นกดหนัก จังหวะลงกดเบา ทำแบบนี้ประมาณซัก 3 ครั้ง คุณจะรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายสมองและลดริ้วรอยได้อีกทางหนึ่ง
นอนหงายคลายรอยย่น
การนอนหงายเรียกว่าเป็นท่านอนที่เพอร์เฟ็คที่สุด เพราะการนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งนานๆก็จะทำให้เกิดรอยพับที่ร่องแก้ม แต่ถ้านอนคว่ำนานๆก็จะทำให้เกิดริ้วรอยที่หน้าผาก แถมการนอนหงายยังทำให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดี ไม่หายใจติดขัดอีกด้วย
เข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม
เราคงเคยได้ยินว่าการนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพราะร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ออกมามากที่สุด เป็นฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย แต่จะหลั่งออกมาเฉพาะเวลาที่เรานอนหลับเท่านั้น เทคนิคสุดยอดของการพิชิตหน้าเด้ง คือ ให้คุณสาวๆทำการออกกำลังกายหนักๆอย่างการยก Weight ก่อนเข้านอน 3 ชั่งโมง เพราะจะทำให้ร่างกายหลั่ง Growth Hormone เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เพื่อเร่งซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนที่เสียหาย
ทานน้ำมันปลา
ข้อดีของน้ำมันปลานั้นมีอยู่มากมาย แต่ข้อดีในส่วนของความสวยความงามก็มีเช่น ช่วยลดเลือนริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็น แซลมอน ทูน่า ปลาสวาย ล้วนแล้วแต่มีโอเมก้า 3 กันทั้งนั้น
ทานผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน C และวิตามิน A
ตื่นเช้าขึ้นมาเติมความสดใสให้ร่างกายด้วยน้ำผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน C สามารถช่วยเรื่องริ้วรอยของคุณได้ หรือจะทานเป็นผลไม้สดๆอย่างส้ม แอปเปิ้ลก็ได้ ส่วนวิตามิน A นั้นมีอยู่ในฟักทอง แครอท และตำลึง ทานผักผลไม้เหล่านี้เพื่อเพิ่มวิตามิน C และวิตามิน A ให้แก่ร่างกาย เพราะยังไงการบำรุงจากภายในเป็นวิธีที่ดีที่สุดและทำให้คุณสวยได้นานที่สุดอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : Spicy 10-16 November 2012
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ตัวการร้ายทำลายภาวะเจริญพันธุ์
ตัวการร้ายทำลายภาวะเจริญพันธุ์
ผู้หญิงหลายคนต่างก็มีความฝันอยากที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบใช่มั้ยล่ะค่ะ และการเป็นแม่คนนั้นก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ในชีวิตผู้หญิงอย่างเรานะคะ สำหรับการมีลูกยากนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่หากคุณผู้หญิงที่อยากจะมีลูกกับเขาบ้าง มาดูกันค่ะว่าสาเหตุตัวร้ายที่ทำให้เกิดภาวะมีตรยากเนี่ยมีอะไรกันบ้างน้า
1.เซ็กซ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
โรคคลาไมเดียหรือหนองในเทียมนั้นถือเป็นตัวการสำคัญเลยที่เดียวเลยค่ะ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้(เช่นเดียวกับโกโนเรียหรือหนองในแท้) ซึ่งการติดเชื้ออาจจะลุกลามไปยังปีกมดลูก ส่งผลให่เซลล์ไข่ไม่ตกลงมาฝังตัวที่มดลูก จึงเกิดภาวะเสี่ยงต่อการตั้งท้องนอกมดลูกได้นะคะ แพทย์ในแคนนาดาได้ตรวจพบโกโนเรียสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทุกชนิด เพราะฉะนั้น อย่าลืมพาคู่นอนของคุณไปตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อนจะเลิกใช้ถุงยางอนามัยนะคะ
...............................................................
2.บุหรี่
เมื่อคุณสูบบุหรี่ เซลล์ไข่ของคุณจะค่อยๆตายไปทีละนิด เป็นความจริงที่ผู้หญิงที่สูบบุหรี่จะหมดประจำเดือนเร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 4 ปี รวมทั้งโอกาสที่ผู้หญิงที่สูบบรี่มีโอกาสแท้งลูกและคลอดทารกได้นำ้หนักต่ำกว่าเกณฑ์อีกด้วย ถ้าคุณผู้หญิงที่อยากมีลูกล่ะก็ เลิกบุหรี่ซะเถอะค่ะ เพราะหลังจากเลิกบุหรี่ โอกาสการตั้งครรภ์ของคุณก็จะกลับมาเท่ากับผู้หญิงที่ไม่ได้สูบุหรี่ภายใน 1 ปีเท่านั้น
...............................................................
3.น้ำหนักตัว
ฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมาเพื่อให้ไข่ตกนั้นถูกเก็บไว้ที่เนื้อเยื่อชั้นไขมัน ดังนั้นถ้ามีไขมันในร่างกายน้อยเกินไป(ค่าBMIต่ำกว่า18.5)ไข่อาจจะไม่ตกเลยถ้าไขมันในร่างกายมีมากเกินไป(ค่าBMIสูงกว่า29) อินซูลินและเอสโตรเจนที่มากไปก็จะทำให้วงจรการตกไข่แปรปรวน ลองเพิ่มหรือลดน้ำหนักสัก 5% แน่นอนว่าวงจรการตกไข่ของคุณจะกลับมาสมดุลอีกครั้ง
...............................................................
4.อาหารที่ไร้ประโยชน์
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาดพบว่า ผู้หญิงที่ปฏิบัติตามกฎการรับประทาน 4 ข้อเพื่อควบคุมน้ำหนัก จะมีความสามารถในการเจริญพันธุ์ที่ดีกว่าคนที่รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ กฎ 4 ข้อนั้นก็คือ 1.รับประทานธัญพืชโฮลเกรนแทนธัญพืชประเภทที่ขัดสี 2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันที่เกิดจากการแรรูป 3.ปรุงอาหารด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 4.รับประทานโปรตีนจากพืชแทนเนื้อสัตว์(โปรตีนจากถั่ว) ยิ่งถ้าเป็นเทศกาลกินเจแล้ว มีแหล่งอาหารให้เลือกมากมายเลยล่ะค่ะ
...............................................................
5.สารเคมี
ในการทำเด็กหลอดแก้วนักวิทยาศาสตร์พบว่าผู้หญิงที่มีสารBPA(สารเคมีที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง พบมากในพลาสติกและภาชนะใส่อาหาร) ในปัสสาวะในระดับมากจะมีเซลล์ไข่ให้เก็บน้อยกว่าผู้หญิงที่มีระดับสาร BPA ต่ำ ถึง 24% ลองเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสาร BPA จะดีกว่า
...............................................................
Cr. นิตยาสาร COSMOPOLITAN NO.196 P.158
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ไขปริศนา “นอนละเมอ”
การนอนละเมอ คือการพูดหรือทำกิริยาอาการต่างๆ โดยไม่รู้ตัวในขณะที่กำลังนอนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้
การนอนละเมอจัดเป็นปัญหาการนอนอย่างหนึ่ง แต่มักไม่ใช่เรื่องผิดปกติร้ายแรง สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย สำหรับในวัยเด็กนั้น สามารถแก้ไขได้โดยอาศัยความร่วมมือของพ่อแม่ เพื่อช่วยปรับพฤติกรรมการนอนให้กับลูกๆ
การนอนหลับของเด็กจะมี 2 ช่วง เรียกว่า ช่วงหลับตื้น (REM sleep) และช่วงหลับลึก (Non-REM sleep) คือระยะหลังจากหลับไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง ซึ่งการละเมอจะเกิดขึ้นในช่วงหลับลึก
การนอนละเมอในวัยเด็ก คาดว่ามาจาก 2 สาเหตุ คือ
1. สิ่งกระตุ้นจากภายนอก เช่น หนังเขย่าขวัญ ภาพน่ากลัว หรือกิจกรรมในตอนกลางวันที่ตื่นเต้นจนเกินไป ทำให้เขาฝังใจแล้วเก็บไปนึกถึงในยามหลับ
2. พัฒนาการของระบบประสาท ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะกับเด็กบางคนที่ระบบประสาทยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงทำให้ละเมอตื่นกลางดึก
ปัญหาการนอนละเมอในเด็ก แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
1. ละเมอฝันผวา (night terror) ส่วนใหญ่จะเกิดในเด็กอายุ 4-7 ปี อาการสำคัญคือ ตกใจตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน บางครั้งก็หวีดร้องด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากฝันร้ายตรงที่เด็กจะจดจำอะไรไม่ได้เลย กรณีนี้มักไม่เกี่ยวกับสิ่งกระตุ้น แต่เกิดจากระบบประสาทของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้การจัดเรียงข้อมูลในสมองทำงานไม่เป็นระเบียบ อาการจะเกิดขึ้นในวันที่เด็กมีความเครียด แต่ไม่ใช่เพราะเด็กมีปัญหาทางอารมณ์
การปลุกให้ลูกตื่นจากละเมอฝันผวาหรือพยายามคุยกับเขาในช่วงนั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะอาจยิ่งทำให้มีอาการนี้นานขึ้น เช่น แทนที่ลูกจะตื่นมาร้องแค่ 5 นาที ต่อไปอาจจะกินเวลาถึง 15 นาทีได้
วิธีที่ควรทำก็เพียงแต่อุ้มลูกมากอดไว้ ลูบหัว ตบก้น โยกตัวเบาๆ และปลอบให้เขานอนต่อ เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็จะจำฝันนี้ไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น
2. ละเมอเดิน (sleepwalking) มักเกิดกับเด็กโต ลูกอาจจะเดินไปรอบห้อง หรือเดินไปข้างนอกห้องหรือนอกบ้านทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวก็ได้ และเมื่อตื่นก็จะจำอะไรไม่ได้เช่นกัน ซึ่งถือว่าอันตรายมาก เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
หากลูกมีอาการไม่มาก พ่อแม่สามารถปรับสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันอันตรายไว้ก่อนได้ โดยจัดห้องนอนให้โล่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เดินชนสิ่งกีดขวาง ประตูหน้าต่างต้องแน่นหนาเพื่อไม่ให้ละเมอเดินออกไปข้างนอก ควรหลีกเลี่ยงเตียงสองชั้น หันมาใช้เตียงธรรมดาหรือฟูกแทน หากมีอาการมากก็ไม่ควรให้ลูกนอนคนเดียว
พ่อแม่สามารถช่วยให้ลูกนอนหลับอย่างมีความสุขได้ โดยพยายามพาลูกเข้านอนให้ตรงเวลาทุกวัน และควรจะเข้าห้องน้ำก่อนนอน เพราะบางครั้งการละเมอฝันผวาก็เริ่มต้นจากการปวดปัสสาวะได้ การเล่านิทานน่ารักๆ หรือให้ลูกฟังเพลงผ่อนคลายก่อนนอนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกนอนหลับสบายขึ้น
การนอนละเมอมักเกิดขึ้นในเวลาเดิมของทุกวัน เมื่อพบว่าลูกนอนละเมอ ให้จดวันและเวลาไว้เพื่อนำมาดูว่าเกิดขึ้นกี่ครั้งใน 1 สัปดาห์ ถ้าเป็นบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ให้ลองปลุกลูกก่อนเวลาละเมอประมาณ 15 นาที แล้วปล่อยให้ตื่นสัก 5 นาที จากนั้นค่อยให้นอนต่อ ทำอย่างนี้ติดต่อกันประมาณ 7-10 วัน อาการละเมอของลูกจะเริ่มน้อยลง
หากลูกละเมอเดือนละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง ถือเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้ คืออาจมีการละเมอฝันผวาเกิดขึ้นบ้างเป็นระยะๆ เพราะการพัฒนาของระบบประสาทยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นไปตามวัย แต่หากลูกนอนละเมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้นเป็นระยะๆ คืออาจเป็นๆ หายๆ เป็นพักๆ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะผลจากการละเมอบ่อยๆ จะทำให้เด็กพักผ่อนไม่เต็มที่
แม้ยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่า การที่เด็กละเมอหรือตื่นบ่อยจะมีผลกับพัฒนาการที่เห็นเด่นชัดหรือไม่ แต่เด็กที่มีปัญหาการนอนและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง จะส่งผลถึงพัฒนาการโดยอ้อม ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียน เขาจะไม่สดชื่นหลังจากตื่นนอน เล่นกับเพื่อนก็ไม่สนุก เข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้ ไม่มีสมาธิ หลับในห้องเรียน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข
ส่วนการนอนละเมอในผู้ใหญ่จะแตกต่างจากในเด็ก เด็กจะละเมอมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กหลับสนิทกว่า นั่นเท่ากับว่าเราจะหลับสนิทน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนละเมอก็จะลดลงตามไปด้วย
ไม่ทราบแน่ชัดว่าการละเมอในผู้ใหญ่เกิดจากอะไร แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากสิ่งเร้าบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเร้าภายในหรือภายนอกร่างกายก็ได้ ปัจจัยที่ทำให้นอนละเมอได้ง่ายที่สุดก็คือ ความเครียด นอกจากนั้นก็ได้แก่ เสียงดัง การดื่มสุรา และการกินยานอนหลับ
การละเมออาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากพ่อหรือแม่เป็นคนนอนละเมอ ลูกก็จะมีโอกาสประมาณร้อยละ 50 ที่จะนอนละเมอเช่นเดียวกัน
การละเมอเดินในผู้ใหญ่ อาจเกิดอันตรายขึ้นได้เช่นกัน ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น เดินชนตู้ ตกบันได ตกลงมาจากหน้าต่าง หรือเดินออกไปนอกบ้านแล้วเกิดอุบัติเหตุ ป้องกันได้โดยการปรับสภาพแวดล้อม
ส่วนกรณีละเมอพูด การแก้ไขจะขึ้นอยู่กับลักษณะการละเมอ และต้องดูว่าเป็นอาการของโรคอื่นด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ
ในคนปกติ การนอนละเมอจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่กี่วันก็มักจะหายไปได้เอง แต่ถ้าเป็นนานมากและค่อนข้างบ่อย จนรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกว่านอนหลับได้ไม่เต็มที่ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อลดความเครียดและปรับพฤติกรรมที่อาจเป็นสาเหตุทำให้นอนละเมอ ในบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยา เพื่อปรับคุณภาพการนอนให้ดีขึ้น
โดย เอมอร คชเสนี http://www.manager.co.th
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
โทษของวิตามิน
ใครจะคิดกันล่ะคะว่าวิตามินที่รับประทานกันเข้าไปนั้นจะมีโทษต่อร่างกายด้วย หลายคนคิดว่าขึ้นชื่อว่าวิตามินแล้วกินเข้าไปยังไงก็มีประโยชน์ใช่มั้ยล่ะคะ แต่วิตามินบางตัวก็ต้องมีปริมาณจำกัดที่ควรได้รับต่อวันนะคะ ทางที่ดีก่อนจะเลือกรับประทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนะคะ มาดูผลเสียของวิตามินต่างๆกันดีกว่าค่ะ
-วิตามินเอ หากเราสะสมวิตามินเอไว้ในร่างกายเกินขีดจำกัด เมื่อรับประทานวิตามินมากเกินความต้องการ วิตามินจะจะสามารถละลายได้ในน้ำมันถึงไม่ถูกขับถ่ายออก แต่จะสะสมไว้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด ปริมาณที่ควรรับประทานตามมาตรฐานสากล คือ 800 ยูนิตสากล ค่ะ
โทษของวิคามินเอจะเริ่มปรากฏอาการต่าง เช่น คลื่นเหียน อาเจียน สายตาพร่ามัว เกิดผื่นคันตามผิวหนัง ประจำเดือนผิดปกติ
-วิตามินซี ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม หากเราได้รับวิตามินซีน้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับก็จะเกิดลักปิดลักเปิดซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจากวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะอีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซีแม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
โทษของวิตามินซี
การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Seleniumการรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
วิตามินซีทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีจึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน
-วิตามินอี
เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะดังเช่นวิตามินซี หรือวิตามินบี โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย นำผลเสียคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน
-วิตามินดี
ปกติวิตามินดีมี 2 รูปด้วยกัน คือ
1) วิตามินดี 2 พบได้ในพืช รา ไลแคน และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง พวกหอยทาก หนอน
2) วิตามินดี 3 พบได้ในน้ำมันตับปลา น้ำมันปลา
ถ้ากินวิตามินดีเกินขนาด คือ กินมากกว่าความต้องการของร่างกาย 100 เท่า (ความต้องการวิตามินดี
ในทุกอายุคือ 400 หน่วยสากลต่อวัน) จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย และวิตามินดี 3 จะมีพิษแรงกว่าวิตามินดี 2 มากคือ 10-20 เท่า
การกินวิตามินดีเกินขนาดจนทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ เป็นเหตุให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากทางเดิน
อาหารมากกว่าปกติ และเร่งการสลายแคลเซียมจากกระดูก ทำให้มีแคลเซียมในเลือดสูง(hypercalcernia) ในที่สุดระดับแคลเซียมในเลือดจะเสียสมดุล ผลที่ตามมาคือแคลเซียมและฟอสเฟตจะไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆโดยเฉพาะที่หัวใจ ไต รวมทั้งหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติ
แต่การสร้างวิตามินดีที่ผิวหนังจะไม่ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ
อาหารวิตามินดี เป็นพิษที่พบได้ คือ เบื่ออาหาร ทางเดินอาหารปั่นป่วน ไม่สบายท้อง ปวดศีรษะ
เจ็บปวดตามข้อ ปัสสาวะมาก แคลเซียมในเลือดสูง แคลเซียมเกาะตามอวัยวะต่าง ๆ
ปกติวิตามินดีมี 2 รูปด้วยกัน คือ
1) วิตามินดี 2 พบได้ในพืช รา ไลแคน และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง พวกหอยทาก หนอน
2) วิตามินดี 3 พบได้ในน้ำมันตับปลา น้ำมันปลา
ถ้ากินวิตามินดีเกินขนาด คือ กินมากกว่าความต้องการของร่างกาย 100 เท่า (ความต้องการวิตามินดี
ในทุกอายุคือ 400 หน่วยสากลต่อวัน) จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย และวิตามินดี 3 จะมีพิษแรงกว่าวิตามินดี 2 มากคือ 10-20 เท่า
การกินวิตามินดีเกินขนาดจนทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ เป็นเหตุให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากทางเดิน
อาหารมากกว่าปกติ และเร่งการสลายแคลเซียมจากกระดูก ทำให้มีแคลเซียมในเลือดสูง(hypercalcernia) ในที่สุดระดับแคลเซียมในเลือดจะเสียสมดุล ผลที่ตามมาคือแคลเซียมและฟอสเฟตจะไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆโดยเฉพาะที่หัวใจ ไต รวมทั้งหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติ
แต่การสร้างวิตามินดีที่ผิวหนังจะไม่ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ
อาหารวิตามินดี เป็นพิษที่พบได้ คือ เบื่ออาหาร ทางเดินอาหารปั่นป่วน ไม่สบายท้อง ปวดศีรษะ
เจ็บปวดตามข้อ ปัสสาวะมาก แคลเซียมในเลือดสูง แคลเซียมเกาะตามอวัยวะต่าง ๆ
-วิตามินเค
ในสัตว์ทดลองยังไม่พบความเป็นพิษของวิตามินเคที่ได้รับจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะให้ขนาดสูงเท่าใด
แต่วิตามินเคที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากแบคทีเรียจะทำให้เกิดพิษได้ถ้าได้รับในขนาดสูง (สูงกว่าความต้องการของร่างกาย 3 เท่า ร่างกายต้องการวิตามินเค 140 ไมโครกรัมต่อวัน) เช่น ทำให้ทารกเกิดภาวะโลหิตจาง น้ำดีคั่งในเลือด และมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อกระบวนการออกซิเตชั่น และกดการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นมากแต่ถูกทำงานน้อยนี่เองที่จะทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ
ในสัตว์ทดลองยังไม่พบความเป็นพิษของวิตามินเคที่ได้รับจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะให้ขนาดสูงเท่าใด
แต่วิตามินเคที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากแบคทีเรียจะทำให้เกิดพิษได้ถ้าได้รับในขนาดสูง (สูงกว่าความต้องการของร่างกาย 3 เท่า ร่างกายต้องการวิตามินเค 140 ไมโครกรัมต่อวัน) เช่น ทำให้ทารกเกิดภาวะโลหิตจาง น้ำดีคั่งในเลือด และมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อกระบวนการออกซิเตชั่น และกดการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นมากแต่ถูกทำงานน้อยนี่เองที่จะทำอันตรายต่อเซลล์ปกติ
วิตามินบี 1
ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษของวิตามินบี 1 ยังมีการศึกษากันน้อยมากทั้งในสัตว์ทดลองหรือในคน
เราก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่ที่ทำการเผยแพร่ถึงความเป็นพิษของวิตามินบี 1 จะเป็นวิตามินบี 1 ในรูปของไทอามีนไฮโดรคลอไรด์ที่กินสูงถึง 1,000 เท่าของขนาดที่ใช้ป้องกันการขาด (2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เพราะศูนย์ควบคุมการหายใจจะถูกกดหรือถ้าได้รับวิตามินบี 1 ทางหลอดเลือดดำ ในขนาดที่สูงกว่าปกติ 100 เท่า (ปกติร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1 มิลลิกรัม) จะทำให้เกิดอาการ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ผื่นแพ้ ซีด เกิดอัมพาต หัวใจเต้นผิดปกติ
ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษของวิตามินบี 1 ยังมีการศึกษากันน้อยมากทั้งในสัตว์ทดลองหรือในคน
เราก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่ที่ทำการเผยแพร่ถึงความเป็นพิษของวิตามินบี 1 จะเป็นวิตามินบี 1 ในรูปของไทอามีนไฮโดรคลอไรด์ที่กินสูงถึง 1,000 เท่าของขนาดที่ใช้ป้องกันการขาด (2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) จะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เพราะศูนย์ควบคุมการหายใจจะถูกกดหรือถ้าได้รับวิตามินบี 1 ทางหลอดเลือดดำ ในขนาดที่สูงกว่าปกติ 100 เท่า (ปกติร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1 มิลลิกรัม) จะทำให้เกิดอาการ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ผื่นแพ้ ซีด เกิดอัมพาต หัวใจเต้นผิดปกติ
วิตามินบี 2 (ไรโบเฟลวิน)
ความเป็นพิษของวิตามินบี 2 นั้นมีน้อยมาก ปัญหาทางสุขภาพที่จะเกิดจากการได้รับเกินขนาดจึง
พบได้ยากหรือไม่พบเลย ถึงแม้จะให้ไรโบเฟลวิน 2-10 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ในสุนัขและหนูก็ยังไม่พบอาการความเป็นพิษใด ๆ เลย (ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 วันละ 1.2 - 1.7 มิลลิกรัม)
ความเป็นพิษของวิตามินบี 2 นั้นมีน้อยมาก ปัญหาทางสุขภาพที่จะเกิดจากการได้รับเกินขนาดจึง
พบได้ยากหรือไม่พบเลย ถึงแม้จะให้ไรโบเฟลวิน 2-10 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ในสุนัขและหนูก็ยังไม่พบอาการความเป็นพิษใด ๆ เลย (ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 วันละ 1.2 - 1.7 มิลลิกรัม)
-วิตามินบี 3 (ไนอาซีน)
โดยทั่วไปแล้ว ไนอาซีนมีพิษน้อยมาก ต้องให้ขนาดสูงถึง 10-20 เท่าจึงจะเริ่มปรากฏความเป็นพิษ
ในสัตว์ทอลอง ในคนพบว่าจะให้ขนาดสูง ๆ เพื่อใช้ในการรักษาจะมีฤทธิ์ใกล้เคียง คือทำให้เกิดผื่นแดง ลมพิษ ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน เช่น อืดอัดแน่นท้อง มีอาการแสบอก แสบกระเพาะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น ในผู้ป่วยบางรายการได้รับไนอาซินขนาดสูง ๆ ทำให้เกิด glucose tolerance ยูเรียในเลือดสูง (ร่างกายต้องการไนอาซีนวันละ 13-18 มิลลิกรัม)
โดยทั่วไปแล้ว ไนอาซีนมีพิษน้อยมาก ต้องให้ขนาดสูงถึง 10-20 เท่าจึงจะเริ่มปรากฏความเป็นพิษ
ในสัตว์ทอลอง ในคนพบว่าจะให้ขนาดสูง ๆ เพื่อใช้ในการรักษาจะมีฤทธิ์ใกล้เคียง คือทำให้เกิดผื่นแดง ลมพิษ ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน เช่น อืดอัดแน่นท้อง มีอาการแสบอก แสบกระเพาะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น ในผู้ป่วยบางรายการได้รับไนอาซินขนาดสูง ๆ ทำให้เกิด glucose tolerance ยูเรียในเลือดสูง (ร่างกายต้องการไนอาซีนวันละ 13-18 มิลลิกรัม)
-วิตามินบี 6 (ไพริดอกซีน)
ความเป็นพิษของวิตามินบี 6 นั้นมีน้อย มีรายงานพบความเป็นพิษของวิตามินบี 6 ถ้าได้รับในปริมาณสูงหลาย ๆ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (ร่างกายต้องการวิตามินบี 6 วันละ 2 มิลลิกรัม)จะทำให้ประสาทรับสัมผัสสูญเสียหน้าที่ไป มีอาการชัก ระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากขนาดที่ใช้ในการรักษาที่มากกว่า 50 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ที่ใช้ยา L-dopa ในการรักษาต้องระมัดระวังการได้รับวิตามินบี 6 เกินขนาด การได้รับวิตามินบี 6 เกินขนาด ในปริมาณ 10-25 มิลลิกรัม จะขัดขวางการทำงานของ L-dopa
ความเป็นพิษของวิตามินบี 6 นั้นมีน้อย มีรายงานพบความเป็นพิษของวิตามินบี 6 ถ้าได้รับในปริมาณสูงหลาย ๆ กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (ร่างกายต้องการวิตามินบี 6 วันละ 2 มิลลิกรัม)จะทำให้ประสาทรับสัมผัสสูญเสียหน้าที่ไป มีอาการชัก ระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ ส่วนใหญ่จะเกิดจากขนาดที่ใช้ในการรักษาที่มากกว่า 50 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ที่ใช้ยา L-dopa ในการรักษาต้องระมัดระวังการได้รับวิตามินบี 6 เกินขนาด การได้รับวิตามินบี 6 เกินขนาด ในปริมาณ 10-25 มิลลิกรัม จะขัดขวางการทำงานของ L-dopa
วิตามินคือ สารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เล็กน้อยเท่านั้น การเลือกกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ก็จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างครบถ้วนนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศการประชาสัมพันธ์
หนังสือความรู้คู่บ้าน หน้า85 ฉบับพิเศษ4
thaiza.com
นิตยสารหมอชาวบ้าน 195
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
8 อาการที่น่าสงสัยต่อการเกิดมะเร็ง
ในปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะคนในเมืองที่ต้องเผชิญกับสารเคมีมากมายจากท้องถนน อากาศเสีย และอาหารที่เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่ง ลองมาเช็คดูกันค่ะว่าเรามีอาการเหล่านี้อยู่หรือเปล่า จะได้รีบป้องกันได้ก่อนและรักษาได้ทันท่วงทีนะค่ะทุกท่าน
อาการที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
1.มีตุ่มหรือก้อนเนื้อที่เกิดขึ้น และโตอย่างรวดเร็ว
2.เป็นแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย
3.เจ็บคอและกลืนอาหารลำบาก
4.กายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง
5.เสียงแหบแห้ง
6.ท้องอืด เบื่ออาหาร ผอมลงเรื่อยๆ ซีด
7.ตกขาวมาก มีกลิ่นผิดปรกติื ประจำเดือนมาแบบกระปริดกระปรอย
8.ถ่ายอุจจาระผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูก-ท้องร่วงสลับกันบ่อยๆ
9.มีหูด ไฝ ปาน ที่โตเร็วผิดปกติ
การป้องกัน
1.หากมีอาการผิดปกติดังที่กล่าวมานั้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที
2.งดสูบบุหรี่
3.พยายามงดดื่มเหล้า หรือดื่มให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้
4.พยายามหลีกเลี่ยงจากควันดำ และท่อไอเสียรถยนต์
5.บำรุงร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ พักผ่อนให้เพียงพอ
6.ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 10 นาที
7.หมั่นเข้ารับการตรวจหามะเร็งอย่างน้อยปีละครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก ความรู้คู่บ้าน ฉบับพิเศษ3,หน้า80
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วิธีแก้ขาลาย
ทุกคนคงอยากมีขาที่เรียบเนียน ไร้รอยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยแผลเป็น รอยจากผื่น ยุงกัด หรือจากสาเหตูมากมายหลายอย่าง
ซึ่งปัญหาที่กวนใจหลายๆท่าน โดยเฉพาะสาวๆ ยิ่งแฟชั่นเดี๋ยวนี้มีแต่สั้นเสมอหูกันทั้งนั้น ถ้าขาเนียนสวยก็ถือว่าโชคดีมากๆเลยล่ะค่ะ แต่ถ้าหลายคนที่มีปัญหาขาลาย ไม่เนียนเลย จะทำอย่างไรดีล่ะค่ะ ไม่ต้องน้อยใจไปค่ะ วันนี้มีวิธีกลบเกลื่อนรอยแผลเป็นหรือรอยด่างดำที่ขาให้พอทุเลาเบาบางลง แต่ไม่ถึงกับหายไปหมดซะทีเดียวนะคะ ต้องใช้เวลาซะหน่อย
อีกอย่างคือเป็นวิธีรักษาจากส่วนผสมธรรมชาตฺที่เราสามารถหาได้ง่ายๆตามบ้่านได้เลยนะคะ
ส่วนผสมสูตรไม่ลับ
1.ดินสอพอง
2.น้ำมะนาวข้นๆ
จากนั้นก็แค่ผสมกันก็เรียบร้อยค่ะ
สามารถทาตรงรอยแผลเป็นประจำทุกวัน
แผลเป็นและรอยด่างดำนั้นก็จะค่อยๆจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้หากใช้ไม่หมดก็ยังสามารถนำไปพอกหน้ารักษาสิว และรอยสิวได้อีกต่างหากนะคะ
ขาเนียนสวยแถมยังหน้าใส ไกลรอยสิว เห็นอย่างนี้แล้วต้องรีบไปทำสวยกันแล้วล่ะค่าาาา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)